sedative

「Road to Kokeshi EP.4」 Sedative วงฮาร์ดคอร์ออสซีกับดนตรีหลากรส ที่เราไม่อยากให้คุณพลาด

นอกจากวงเมทัลจากฝั่งประเทศไทยเองอย่าง G6PD, Ugoslabier, และ Sinners Turned Saints ที่จะมาเล่นเปิดงาน Kokeshi Live in Bangkok ในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายนนี้ (ซึ่งเราเขียนถึงไปก่อนหน้านี้แล้ว) เรายังมีอีกหนึ่งแขกรับเชิญพิเศษเป็นวงฮาร์ดคอร์สายเลือดใหม่จากเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลียนามว่า Sedative ที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในซีนเพลงสายหนักแดนจิงโจ้มาเป็น opening act ด้วยกันอีกหนึ่งวง และวันนี้คอลัมน์พิเศษ Road to Kokeshi ก็จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้นอีกนิด

แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาใช้ชื่อว่า Grenade Brain (ซึ่งไม่จำเป็นต้องจำอีกต่อไป) แต่เปลี่ยนมาเป็น Sedative และปล่อยซิงเกิลแรกชื่อ “Cough Medicine” ให้ฟังในช่วงกลางปี 2021 และด้วยเสียงตอบรับที่ดี ในปีแรกพวกเขามีงานเพลงในรูปแบบซิงเกิลปล่อยออกมาให้ซีนเพลงสายหนักในออสเตรเลียได้รู้จักกันถึง 3 เพลงด้วยกัน (อีกสองเพลงคือ “No Hard Feelings” และ “Vile”) การเริ่มต้นถือว่าเป็นไปได้สวย ได้รับความสนใจจากสื่อในประเทศ อาทิ สถานีวิทยุ Triple J รวมไปถึงบรรดาซีนต่าง ๆ อย่าง Kill Your Stereo, Heavy Mag, Maniacs และอีกหลาย ๆ เจ้า

และตามธรรมชาติของคนมีไฟ เครื่องจักรผลิตเพลงโหดจึงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในปี 2022 พวกเขาคลอดอัลบั้มเต็มชุดแรก (และชุดเดียวจนถึงตอนนี้) ชื่อว่า Death Romantic ออกมา ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับที่ โดยไม่ใช่แค่จากแฟน ๆ หรือสื่อต่าง ๆ แต่ยังสร้างไมล์สโตนใหม่ด้วยการได้ขึ้นปกเพลย์ลิสต์ Homegrown and Heavy ที่แนะนำวงท้องถิ่นสายหนักของออสเตรเลียบน Spotify ในช่วงเดือนเมษายนปีเดียวกัน

 

 

จุดเด่นของ Sedative คือความหลากหลายของดนตรีที่ทำให้การแปะป้ายแนวเพลงของพวกเขาเป็นไปได้ยาก เวลาปล่อยตัวเพลงใหม่ บางสำนักเรียกพวกเขาว่าเป็นวงเมทัลลิกฮาร์ดคอร์ บ้างเรียกเมทัลคอร์ หรือไปถึงขั้นเดธคอร์เลยก็มี หากเปรียบให้เห็นภาพเป็นถนนสายหนึ่ง เส้นทางหลักที่พวกเขาขับไปคือถนนสายฮาร์ดคอร์อย่างแน่นอน ทว่าอาจจะมีแวะเข้าซอยยิบย่อยรายทางไปหาเมทัลคอร์บ้าง เดธคอร์บ้าง แสลมบ้างตามแต่วงจะอยากทำและเห็นสมควร (ก็ดีครับไม่น่าเบื่อ)

อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้ Sedative ทะยานขึ้นมาเป็นที่รู้จักนอกประเทศในเวลาอันสั้น ก็คือแรงใจในการผลักดันวงให้ออกมานอกเมืองเพิร์ธบ้านเกิดตัวเองโดยไม่ต้องรอให้ใครพาออกมา ซึ่งเรื่องนี้วงเคยให้สัมภาษณ์ไว้ครั้งหนึ่งกับนิตยสาร Hysteria Magazine ด้วยว่า:

 

“เรายืนกรานกันหนักแน่นมาตั้งแต่ช่วงแรกของวงนี้แล้วครับว่า เราจะไม่เป็นแค่วงดนตรีทั่วไปวงนึงจากเพิร์ธ ซึ่งมีหลายวงที่ติดอยู่กับกับดักตรงนี้ พวกเขามัวแต่พยายามที่จะได้รับ ‘การยอมรับ’ จากคนกลุ่มเดิม ๆ ที่ติดอยู่ในนั้นมาตลอด”

“เพราะงั้น เราก็เลยตั้งใจว่าจะออกทัวร์ด้วยตัวเองกันให้ได้ตั้งแต่แรกแล้วครับ และเราก็ทำได้ตามนั้นจริง ๆ ในปีแรกของวงเราออกมาเล่นนอกเพิร์ธถึงสองครั้ง ครั้งแรกเล่นโชว์เดียว แล้วหลังจากนั้นก็เป็นการทัวร์ออสเตรเลียทั่วประเทศ ซึ่งเราทำทั้งหมดด้วยตัวพวกเราเอง ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญสำหรับพวกเราสุด ๆ เพราะความทุ่มเทแบบไม่หยุดยั้งเขาของเรานี่แหละครับ ที่มันเปลี่ยนมาเป็นโอกาสดี ๆ มากมายซึ่งเราได้รับมาในตอนนี้ ซึ่งเรารู้สึกยินดีกับมันเป็นอย่างมาก”

 

 

และหลังจากการพาตัวเองออกมาจากเพิร์ธ ก็ทำให้ปัจจุบัน Sedative มีประวัติการแสดงในงานเดียวกับวงดนตรีเจ๋ง ๆ ในแวดวงเพลงสายหนักมาแล้วหลายต่อหลายวง ทั้ง Fit for An Autopsy, Within Destruction, Signs of the Swarm, Xibalba, Within Destruction รวมถึงมีทัวร์ออสเตรเลีย (ร่วมกับวง Catalyst) ชื่อว่า Cybertour 2022 เพื่อแจกจ่ายความฮาร์ดคอร์ในสไตล์ของพวกเขาให้ผู้คนในออสเตรเลียได้รับชมและออกแข้งออกขาในมอชพิตกันอย่างทั่วถึง

และในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ Sedative ก็จะมาทำความรู้จักกับคอเพลงสายหนักชาวไทยเป็นครั้งแรกที่งานคอนเสิร์ต Kokeshi Live in Bangkok โชว์เต็มรูปแบบครั้งแรกของวงแบล็กเกซสุดเจ๋งจากกรุงโตเกียว งานนี้เรารับประกันได้เลยว่าใส่สุดเรื่องความหนักหน่วงกันตั้งแต่วงแรกยันวงสุดท้ายแน่นอน

บัตรพรีเซลยังมีให้จับจองเป็นเจ้าของกันอยู่ในราคาเบา ๆ เพียง 700 บาท (5 วง!) ซื้อกันได้เลยตอนนี้ที่เว็บไซต์ Ticketmelon ลิงก์นี้ ticketmelon.com/razorriff/kokeshi หารแล้วเหลือวงละไม่เท่าไหร่ แล้วมาเจอกันได้ที่ De Commune ในอีกไม่วันที่จะถึงนี้ครับ!

 

Kokeshi Live in Bangkok

g6pd

「Road to Kokeshi EP.3」 G6PD วงเมทัลคอร์จากเชียงใหม่ กับความพร้อมใส่สุดในทุกโชว์ที่ได้ไปเยือน

มาก่อกันกับ Road to Kokeshi คอลัมน์พิเศษปูทางก่อนถึงคอนเสิร์ต Kokeshi Live in Bangkok ที่เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับเหล่า opening acts แต่ละวงให้มากขึ้นกันอีกเล็กน้อยก่อนถึงวันงาน ก่อนหน้านี้เราเขียนถึงวงโพสต์แบล็กเมทัลไฟแรงสูง Sinners Turned Saints และวงโพสต์ฮาร์ดคอร์สายทำลายล้างอย่าง Ugoslabier กันไปแล้ว ในบทตอนที่สามที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่ตอนนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับโคตรวงเมทัลแห่งแดนเหนือชื่อว่า “G6PD”

หากพูดถึงความกัดฟันอดทนสู้ในวงการเพลงไทย การที่คุณไม่ได้เล่นดนตรีกระแสหลัก คือความยากอันดับแรก และความยากลำดับถัดมาคือการไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงประชากรล้นเกินรับไหวอย่างกรุงเทพมหานคร เพราะผลลัพธ์ของเรื่องนี้คือการที่ซีนดนตรีในแนวที่ชื่นชอบจะเล็กลงไปอีกหลายเท่าตัว และทำให้การรวมตัวกันทำวงดนตรีเมทัลขึ้นมาซักวง (ให้แจ้งเกิด) เป็นเรื่องไม่ง่าย

เช่นเดียวกับวงดนตรีสายร็อกแทบทุกวงบนโลกใบนี้ G6PD เริ่มต้นกันแบบทำเองขายเอง แบบที่มีคำเรียกติดปากว่า D.I.Y. (Do it yourself) แต่ความดีไอวายตรงนี้ก็ดีพอที่จะไปเข้าตาของพี่ สมศักดิ์ แก้วทิตย์ หนึ่งในสมาชิกวงเมทัลรุ่นใหญ่ของไทยอย่าง ดอนผีบิน และกลายเป็นการเซ็นสัญญาเข้าเป็นศิลปินในสังกัด Day One Records (ในทรรศนะของผู้เขียน เรามองว่าวงออกสตาร์ตได้ดีกว่าหลาย ๆ วงในเมืองกรุงเสียอีก)

 

 

และด้วยความที่เนื้อเพลงส่วนใหญ่ในผลงานยุคแรก ๆ ของวงหนักไปทางภาษาไทย บวกกับความเข้มข้นในผลงานที่เข้าตาแวดวงคนฟังเพลงทางเลือก ก็ทำให้อัลบั้มแรกอย่าง Past of Pieces ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสีสันอวอร์ดส์ในสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมด้วย หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้งานชุดนี้เข้าเกณฑ์คือการสื่อสารเรื่องราวในภาษาไทยเป็นหลัก เพราะถ้าขาดตรงนี้ไป ให้งานออกมาดีแค่ไหนก็จะไม่เข้าเกณฑ์ตรงนี้ ตรงนี้ก็เป็นอีกไมล์สโตนหนึ่งที่ปักหมุด G6PD ลงบนแผนที่ประเทศไทยในยุคแรกเริ่มไว้อย่างแข็งแรงและมั่นคง

หลังจากออกอัลบั้มที่สอง The Grand Murder กับค่ายเดย์วันในปี 2007 ผลงานในยุคหลังจากนั้นหันทำมาเองปล่อยเองกันอยู่พักใหญ่ มีงานโดดเด่นอยู่หลายชิ้น เช่นซิงเกิล “The Resistance” ที่ได้พี่เอ๋ นักร้องนำวง Ebola มาแจมด้วย หรืองานชุด Objective Reality เป็นต้น แต่ช่วงที่เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในยุคล่าสุดของวงจริง ๆ และไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือการเข้ามาอยู่ใต้บ้านหลังใหม่อย่าง VOM Records ค่ายเพลงเมทัลที่มีเบื้องหลังเป็นพี่โอ๊ค วง Big Ass และพี่สมเมย์วง Labanoon เพราะด้วยดีเอ็นเอความเป็นเมทัลเฮดที่วงมีอยู่แล้ว ผนวกเข้ากับประสบการณ์ในตลาดเพลงไทยของผู้บริหารค่าย ก็ต้องบอกตามตรงว่า นี่คือช่วงเวลาของการใส่สุด

หากฟังผลงานยุคก่อนหน้าของวง แล้วข้ามมาฟัง “The Red Falls” ที่ออกมาเมื่อสองปีก่อน จะสัมผัสได้เลยว่า ถึงแม้จะเป็นวง G6PD วงเดิม ที่เล่นดนตรีเมทัลคอร์เหมือนเดิม แต่ทุกอย่างถูกตีบวกขึ้นแบบจุใจ ไม่ใช่นักรบป่าเถือนตามป่าเขาแต่เป็นอัศวินเกราะเหล็กที่พร้อมรบทุกสมรภูมิ ช่วงหนึ่งมีการลองของ เปลี่ยนกลิ่นใหม่ ด้วยการดึงเอาหนึ่งในแร็ปเปอร์ที่ iconic โคตร ๆ คนหนึ่งของเมืองไทยอย่าง VKL (ที่หลายคนจำได้แค่เป็นลูกชายหม่ำ จ๊กมก แต่เราอยากบอกว่าในสายฮิปฮ็อปแล้ว VKL นี่ของจริง ไปลองฟังกันได้) มาแจมด้วยกัน ผลงานเพลงนั้นชื่อ “Outcasts”

 

 

Outcasts เป็นเพลงลูกผสมระหว่างเมทัลคอร์ดุดันสับแหลก ที่ผ่าตัดใส่ความแปลกเข้ามาเป็นท่อนเซิ้งผสมแร็ป แปลกเมื่อฟังครั้งแรก แต่เวลาผ่านไปต้องกลับมาฟังใหม่ด้วยความอร่อยหู (ฟีลบ้านงานมันอยู่ในสายเลือด) เพลงเมทัลคอร์ที่ท่อนโซโล่เซิ้งได้ในประวัติศาสตร์ประเทศไทยมันมีกี่เพลงกันเชียวคุณ

หลังจากทดลองทำนั่นทำนี่กันในรูปแบบซิงเกิลอยู่หลายเพลง ล่าสุด G6PD มีอีพีชุดใหม่ภายใต้ชายคา VOM Records ออกมาแล้ว ชื่อ All Eyes Under God หลัก ๆ เป็นการนำเพลงที่ปล่อยออกมาก่อนหน้ามารวมไว้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เปิดด้วยเพลง “Dying Sky” ที่ปูพรมเข้าเพลงด้วยซาวด์พื้นบ้านล้านนาให้รู้ว่าเป็นคนบ้านไหน (และไม่ได้ทำกันแบบติดเล่น แต่ได้ ครูแอ๊ด-ภานุทัต อภิชนาธง ศิลปินพื้นเมืองเชียงใหม่มาร่วมทำเพลงด้วยอย่างจริงจัง) และงานเพลงใหม่ล่าสุดชื่อเดียวกับอีพีชุดนี้อย่าง “All Eyes Under God” ก็วางอยู่ในตำแหน่งปิดท้ายให้ได้ทำความรู้จักกับยุคล่าสุดของวงกันอย่างเข้มข้น

 

 

หนึ่งใน key takeaway สำคัญในการยืนวงการของ G6PD ที่ทำให้วงอยู่คู่ซีนเพลงเมทัลไทยมาได้ถึงสองทศวรรษคือการเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะหากพูดกันตามตรง เมทัลคอร์ ก็ไม่ใช่สายธารหลักให้คนเล่นเพลงสายหนักได้ลงไปแหวกว่ายกันแล้ว แต่ถ้าเรารู้ว่าวงดนตรีวงนี้มีอยู่เพื่อสร้างผลงานแบบไหน เรื่องกระแสอาจไม่จำเป็นและไม่สำคัญเท่าการเดินหน้าทำผลงานให้ดี และทั้งตัวเพลงและการแสดงสดของ G6PD ตลอดหลายปีที่ผ่านก็พิสูจน์แล้วว่า วงเมทัลจากเชียงใหม่วงนี้ ‘มีของ’ พร้อมปล่อยอีกมากมาย

แล้วมาเจอกันกับโชว์ต่อไปของ G6PD ได้ที่คอนเสิร์ต Kokeshi Live in Bangkok การแสดงสดของวงดนตรีแนวแบล็กเกซที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความหลอนสไตล์ J-horror ส่งตรงจากกรุงโตเกียว ในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายนนี้ที่ De Commune และ พิเศษ! นอกจากที่ไทย ในวันถัดไป G6PD ก็จะไปเล่นในเทศกาลดนตรี BLVCK ที่กรุงฮานอยต่อ โดยในงานนี้ก็จะมี Kokeshi เป็นเฮดไลน์ด้วยเช่นกัน ใครอยากตามไปเชียร์ก็บินตามกันได้ แต่ถ้าเอาที่เมืองไทยแบบพอหอมปากหอมคอ ก็เข้าไปกดบัตร pre-sale ราคา 700 บาทกันที่เว็บไซต์ Ticketmelon ที่ลิงก์นี้ได้เลย แล้วเจอกันวันงาน Razor Riff ยิน
ดีให้บริการและรับประกันความมันนนนนนนนนนนนนนนส์แบบเต็มเม็กซ์

⛩️ KOKESHI Live in Bangkok ⛩️
ซื้อบัตร คลิก: ticketmelon.com/razorriff/kokeshi

 

Kokeshi Live in Bangkok

 

ปล. นอกจากผลงานในนามวง G6PD แล้ว เรามี side story ที่น่าสนใจมาให้อ่านกันเพิ่มเติม เป็นบทสัมภาษณ์ของพี่ ต้องจี้ มือกีตาร์ของวง ในฐานะ art handler ผู้ติดตั้งงานศิลปะ อีกหนึ่งอาชีพที่มีเรื่องราวน่าสนใจไม่แพ้วงเมทัลจากเชียงใหม่วงนี้ หากสนใจ คลิกอ่านเพิ่มเติมกันที่นี่ได้เลย: Lanner Joy: สำรวจมุมมองนักติดตั้งผลงานศิลปะจากเชียงใหม่ และก้าวใหม่แห่งการก่อตั้ง “New Found Art Handler”

ugoslabier

「Road to Kokeshi EP.2」 Ugoslabier วง Post-Hardcore ตัวจี๊ดที่พร้อมเสิร์ฟความพังพินาศทุกครั้งที่ขึ้นเวที

กลับมาพบกับคอลัมน์พิเศษ Road to Kokeshi กันอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เราพูดถึง Sinners Turned Saints วงดนตรีแนวโพสต์แบล็กเมทัล/แบล็กเกซสัญชาติไทยที่จะร่วมแสดงเป็นวงเปิดในคอนเสิร์ต Kokeshi Live in Bangkok ในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้กันไปแล้ว (อ่านได้ที่นี่) ในตอนที่สองนี้ เราจะพาไปรู้จักกับโคตรวงโพสต์ฮาร์ดคอร์สายทำลายล้างที่ขึ้นชื่อเรื่องการใส่สุดบนเวทีในทุกครั้งที่ขึ้นแสดง ไม่ว่าจะเป็นงานโชว์ในไลฟ์เฮาส์เล็ก ๆ หรือเวทีใหญ่ไซซ์มหากาพย์ในแบบฉบับของเทศกาลดนตรี

พวกเขาคือ Ugoslabier

วงดนตรีชื่อประหลาดที่ไม่ได้มาจากสาธารณรัฐยูโกสลาเวียวงนี้ ประกอบด้วยนักร้องนักดนตรีขาโหดสัญชาติไทย 5 ท่าน คืออ้อ นักร้องนำ, โอ๋ & โอ๊ต มือกีตาร์, กัณฑ์ มือเบส และน้ำมนต์ มือกลอง—คนที่ติดตามซีนเพลงสายหนักเมืองไทย น่าจะคุ้นเคยชื่อของ Ugoslabier กันดีอยู่แล้ว เพราะมีงานเพลงและงานแสดงออกมาแบบต่อเนื่องไม่ขาดสาย

 

 

ยูโกฯ ออกสตาร์ตเส้นทางดนตรีในนามวงนี้กันมาตั้งแต่ปี 2012 ด้วยการรวมตัวกันของเพื่อน ๆ นักดนตรีที่เคยทำงานเพลงในนามวงอื่นกันมาก่อน (ยุคแรกมีนักร้องนำเป็น พอล โซลิส แห่งวง Housetrap ที่ปัจจุบันย้ายฐิ่นฐานกลับบ้านเกิดที่ประเทศสก็อตแลนด์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว) ด้วยความที่มีประสบการณ์กันมาก่อนทุกคน ไม่ได้เป็น novice เกิดใหม่ ก็ทำให้ผลงานชุดแรกอย่าง The Republic of Ugoslabier คลอดออกมาแบบเข้าที่เข้าทางและจัดวางที่ทางให้วงได้ยืนในซีนดนตรีสายหนักเมืองไทยได้โดดเด่นและเห็นชัดกว่าวงหน้าใหม่หลาย ๆ วง ณ เวลานั้น วงมีครบหมดทั้งฝีมือการแต่งเพลงแบบทำเองล้วน ๆ ด้วยสัญชาตญาณแบบคนยุคอนาล็อก สไตล์การแสดงสดเหมือนเข้าโหมด berserk ตลอดเวลา และการเขียนเนื้อเพลงภาษาอังกฤษที่เล่าเรื่องราวอย่างตั้งใจ

สำหรับความตั้งใจในการเล่าเรื่อง เราแนะนำให้ลองไปเปิดเนื้อเพลงผลงานไตรภาคว่าด้วยความโกลาหลในจิตใจมนุษย์ในโปรเจกต์ Inverse ซึ่งประกอบไปด้วยสามเพลง คือ Misanthrope, Vicious Realm และ _ (เรียกว่า underscore) ดู แล้วจะรู้ว่าการผลักดันการเล่าเรื่องราวไปสุดทางเป็นเช่นไร

และอีกหนึ่งพัฒนาการทางดนตรีที่น่าสนใจของ Ugoslabier คือ โดยทั่วไปแล้ววงดนตรีร็อก ยิ่งแก่ขึ้นผลงานที่ปล่อยออกมาจะเบาลงและหันไปหาทิศทางที่เสพง่ายย่อยง่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ใช่กับ Ugoslabier เพราะวงเลือกเติมความโหดหนักบ้าคลั่งเข้าไปในตัวงานเรื่อย ๆ หากคุณฟังเพลงเปิดตัวอย่าง “Closer Than Ever” แล้วไปฟังผลงานล่าสุดอย่าง “Tear Up the Cage” ที่เพิ่งปล่อยออกมา หรือ “Locked in Syndrome” ที่ชวน แม็ก The Darkest Romance มา (ผู้ซึ่งสามารถทำได้ทั้งเพลงเมทัลหนัก ๆ และเพลงช้าเพราะ ๆ) ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง ต้องบอกว่าวัยที่เพิ่มขึ้นมาไม่ได้ช่วยให้ลูกบ้าของวงลดลงเลย (ดีแล้ว)

 

 

ทว่า ถ้าแค่ทำเพลงได้ดี ผลงานก็โดนใจได้แค่คนฟัง ในส่วนของการแสดงสด Ugoslabier ถือว่าโคตรบ้าพลังและพร้อมลากทุกคนมาแจกจ่ายความพังด้วยกันในพื้นที่มอชพิตหน้าเวทีแบบสุดตัว หนึ่งในตำนานที่เราชื่นชอบเสมอมาคือครั้งที่คุณ กัณฐ์ มือเบสของวงกระโดดลงมาจากระเบียงชั้นสองของร้านที่จัดงาน จนได้รับอาการบาดเจ็บที่เรียกว่า ‘ขาหัก’ มาประดับเป็น achievement unlocked ครั้งสำคัญของร่างกาย ถึงขั้นที่หลังจากนั้นวงต้องเดินทางไปเล่นเปิดให้ After the Burial ที่เวียดนามกันแบบไม่มีมือเบส

และด้วยความบ้าพลังตรงนี้เองก็ทำให้วงดนตรีหลาย ๆ วงอยากร่วมงานด้วย เช่นวงเมทัลลิกฮาร์ดคอร์จากฮ่องกงชื่อ Dagger ที่ชวน Ugoslabier มาทำสปลิตอัลบั้มชื่อ In Grievance ด้วยกันในปี 2019 หรือล่าสุดก็เป็นฝั่งวงพาวเวอร์ไวโอเลนซ์จากอเมริกาอย่าง Full of Hell ที่พายูโกฯ ไปทัวร์เอเชียด้วยแบบลากยาวตลอดสัปดาห์ ไล่มาตั้งแต่เกาหลีใต้ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ก่อนจะมาใส่สุดกันที่เมืองไทยให้เละเทะแบบสบายใจไม่ต้องตื่นไปเช็กอินขึ้นเครื่อง รวมถึงเป็น 1 ใน 12 วงดนตรีที่ได้รับเลือกในโครงการ Music Exchange ครั้งที่ 3 ของ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) ร่วมกับวง Yonlapa, Whispers และอีกหลาย ๆ วงในการส่งออกซอฟต์พาวเวอร์(แนวทางเลือก)ของไทยไปให้ต่างชาติได้รู้จักกัน

 

 

หากอยากทำความรู้จักกับ Ugoslabier แบบครบ ๆ เราแนะนำให้ลองฟังทุกอย่างที่วงลงไว้บน Spotify เพราะไม่ได้มีเยอะนัก 1) อีพีชุดแรก 2) อัลบั้ม Brew Heart ปี 2017 3) อัลบั้มสปลิตปี 2019 กับวง Dagger และ 4) ซิงเกิลหลังจากนั้นไล่มาจนถึงปัจจุบัน แต่ถ้าเอาแบบเบื้องต้นเพื่อให้เข้าใจบรรยากาศในการแสดงสดของวง ขอแนะนำให้เลือกผลงานยุคหลังย้อนไปถึงประมาณปี 2018 (หลังออกอัลบั้มแรก) เพราะเซ็ตเพลงจะเลือกจากช่วงนี้เป็นหลัก

หากคุณผู้อ่านต้องการมาสัมผัสความ ‘สด’ ‘เดือด’ ‘บ้าพลัง’ ในแบบฉบับของ Ugoslabier พวกเราทีมงาน Razor Riff ก็ขอเรียนเชิญทุกคนมาดูพวกเขากันที่หน้าเวที De Commune กันได้ที่งานคอนเสิร์ต Kokeshi Live in Bangkok ในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ นอกจาก Kokeshi และ Ugoslabier แล้ว ยังจะมี Sedative วงฮาร์ดคอร์จากออสเตรเลีย G6PD วงเมทัลคอร์จากเชียงใหม่ และ Sinners Turned Saints ที่เราเขียนถึงไปก่อนหน้านี้ร่วมแสดงด้วย บัตร pre-sale ราคา 700 บาทเท่านั้น (วันงาน 900) แล้วอย่าลืมมาเจอกัน มันด้วยกันแบบครบ ๆ ครับผม มั่นใจว่าสะใจเต็มข้อแน่นอน ซื้อบัตรที่ลิงก์นี้ได้เลย ticketmelon.com/razorriff/kokeshi เจอกัน!

 

Kokeshi Live in Bangkok

sinners-turned-saints

「Road to Kokeshi EP. 1」 Sinners Turned Saints เหล่าคนบาปกับดนตรี Post-Black Metal สุดเข้มข้น เหลือล้นทั้งอารมณ์และการแสดง

นอกจากวงหลักอย่าง Kokeshi แล้ว ที่งาน Kokeshi Live in Bangkok ยังมี opening act หรือวงเปิดที่จะร่วมแสดงด้วยอีกมากถึง 4 วง ได้แก่ Sedative วงฮาร์ดคอร์จากประเทศออสเตรเลีย G6PD วงเมทัลคอร์ไทยจากจังหวัดเชียงใหม่ Ugoslabier วงโพสต์ฮาร์ดคอร์สุดบ้าพลัง และ Sinners Turned Saints อีกหนึ่งวงดนตรีดาวรุ่งสาย post-black metal/blackgaze ที่ต้องบอกว่าเป็นอีกวงที่นำเสนอความเป็น ‘งานละเอียด’ ออกมาได้แบบถึงพริกถึงขิงมาก ทั้งในการแต่งเพลงและแสดงสด

ด้วยแนวเพลงที่มีรากฐานเป็นแบล็กเมทัล เราคงไม่ต้องอธิบายมากว่าเพลงของ STS มีความโหดความมันให้คนดูคนฟังได้สะใจกันแน่นอนอยู่แล้ว แต่อีกส่วนที่เด่นไม่แพ้กันคือการสร้างบรรยากาศชวนกดดันเข้ามาล้อมรอบเราเอาไว้ และการจะใช้เทคนิคนี้ให้ได้ผลก็แลกมาด้วยการที่เพลงของพวกเขา ‘ยาว’ กว่าเพลงโดยทั่วไปอยู่ไม่น้อยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น “Metem” ซิงเกิลปี 2020 ที่ทำออกมายาวถึง 10 นาที โดยมีเนื้อเพลงอยู่ที่ราว ๆ เกือบ 70 คำเท่านั้น

 

 

แต่เหมือนวงจะรู้ว่า 10 นาทียังไม่สามารถสื่อสารความเจ็บปวดผ่านบทเพลงได้มากพอ ในปี 2024 พวกเขาจึงกลับมาประกาศศักดากับการทำเพลงในแบบที่เชื่ออีกครั้ง ด้วยซิงเกิล “Lament” เพลงบรรเลงความยาว 22 นาทีที่ปล่อยให้ผู้ฟังหลับตาและตีความความรู้สึกในรูปแบบของตนเองได้ตามสบาย เพลงนี้จัดให้ทั้งบรรยากาศ atmospheric ล่องลอยชวนฝัน ท่อนสับดุดันแบบแบล็กเมทัล ให้อารมณ์วิ่งขึ้นลงเหมือนนั่งรถไฟเหาะขบวนยาว build อารมณ์กันยาว ๆ ก่อนจบด้วยการร้องเพียงท่อนเดียวว่า “Only death is a relief!” ปลดปล่อยทุกอย่างที่สร้างกันมาแบบกระชากหัวใจให้ร่วงหล่นลงไปกองอยู่บนพื้นดิน

นอกจาก Lament แล้ว ปีนี้เหล่าคนบาปยังมีเพลง “Wither” ความยาว 9 นาทีปล่อยมาอีกหนึ่งเพลง (สมเป็นโพสต์แบล็กสมาธิยาว) ซึ่งยังคงยึดคอนเซปต์น้อยแต่มาก คือเนื้อเพลงใช้น้อย แต่เลือกใช้คำในการสื่อสารความรู้สึกให้ออกมาชัดเจน แล้วไปเน้นส่วนดนตรีที่ทำงานกับอารมณ์ผู้ฟังเป็นหลัก เทียบกับสองงานก่อนหน้า เพลงนี้จะมีการไล่อารมณ์แบบ slowburn ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า ก็เป็นการนำเสนออีกรูปแบบที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

หากพูดแบบผิวเผิน แนวดนตรีของ Sinners Turned Saints และวงหลักของงานอย่าง Kokeshi อาจจัดอยู่ในหมวดเดียวกัน แต่ก็ไม่ถือว่าเหมือนกันเสียทีเดียว เรียกได้ว่าชื่อแนวเพลงเป็นเพียงกล่องใบใหญ่กล่องหนึ่ง ที่จัดเก็บของเอาไว้อย่างหลากหลาย ซึ่งจากที่ติดตาม Sinners Turned Saints มา พวกเรามั่นใจมากว่าโชว์ของวงจะเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ในงานครั้งนี้แน่นอน

 

 

ลองฟังทั้ง 3 เพลงที่เราเขียนถึงไปในโพสต์นี้ได้ที่ youtube.com/@sinnersturnedsaints4049 และสตรีมมิงอีกหลายช่องทาง อาทิ Spotify หรือ Apple Music (แต่ยูทูบฟรีครับ) ทางวงกำลังทำอัลบั้มเต็มชื่อว่า Metempsychosis กันอยู่ ซึ่งหากใครฟังแล้วชอบอาจต้องรอกันอีกสักพักเพราะของอร่อยต้องใช้เวลาปรุงนาน ระหว่างนี้ทำความรู้จักกันด้วย 3 เพลงนี้ไปพลาง ๆ ก่อนได้

และถ้าให้ Razor Riff แนะนำ เราคงต้องบอกว่าวิธีเสพผลงานของ Sinners Turned Saints ให้ได้อรรถรสที่สุดคือการปล่อยตัวปล่อยใจ ปล่อยจอยด้านอารมณ์ความรู้สึกออกไปผ่านเสียงดนตรีให้มากที่สุด เพราะงานของวงเปิดให้เรานำเอาประสบการณ์ของตนเองใส่เข้าไปได้เต็มที่ ผ่านตัวกลางที่เป็นดนตรีความยาวมหากาพย์ของพวกเขานั่นเอง

แล้วมาเจอกัน Kokeshi Live in Bangkok 9 พฤศจิกายนนี้ พร้อม Sinners Turned Saints และอีกหลาย ๆ วงที่รอขึ้นแสดงให้ทุกคนดูอยู่ สามารถจัดบัตร pre-sale ราคา 700 บาทกันได้ทางเว็บไซต์ Ticketmelon ที่ลิงก์นี้ได้เลย: ticketmelon.com/razorriff/kokeshi

 

Kokeshi Live in Bangkok

kokeshi-2024

ทำความรู้จัก Kokeshi ดาวรุ่งสาย Blackgaze ดวงใหม่ที่กำลังจะมาเยือนไทยเป็นครั้งแรก

ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ Kokeshi วงดนตรีเมทัลดาวรุ่งจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จะมาเปิดการแสดงที่กรุงเทพให้คอเพลงสายหนักชาวไทยได้ดูกันเป็นครั้งแรกกับ 「KOKESHI Live in Bangkok 2024」 หลายคนที่ติดตามซีนดนตรีฝั่งญี่ปุ่นหรือหาวงใหม่ฟังเรื่อย ๆ อาจเคยได้ยินชื่อพวกเขากันมาบ้าง เพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับวงดนตรีวงนี้กันให้มากขึ้นอีกเล็กน้อย

บอกก่อนเลยว่า ถ้าคุณเป็นคนชอบฟังเพลงสาย post-black metal/blackgaze หรือ shoegaze แล้วล่ะก็ ตอบโจทย์แน่นอน!

 

Kokeshi คือใคร

Kokeshi Live in Bangkok

(จากซ้ายไปขวา: Adel มือกีตาร์, Nana นักร้องนำ, Junichi มือเบส, Kazuma มือกลอง, ภาพจาก kokeshi-jpn.com)

 

จุดเริ่มต้นของ Kokeshi เริ่มจากการเป็นศิลปินดูโอที่ก่อตั้งและทำเพลงกันเพียงสองคน ได้แก่ อะเดล มือกีตาร์ และคาซึมะ มือกลอง ในปี 2017 ก่อนที่จะได้นานะ นักร้องนำ และจุนอิจิ มือเบสเข้ามาเสริมทัพภายหลังในช่วงปี 2019 และกลายเป็นสมาชิกคลาสสิกไลน์อัปที่ยังเดินทางทำเพลงและออกทัวร์ร่วมกันมาจนถึงปัจจุบัน

ดนตรีของ Kokeshi ยืนพื้นที่คำว่าเมทัล แต่เป็นการผสานแนวดนตรีย่อยหลากหลายสายเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งแบล็กเมทัล โพสต์เมทัล ชูเกซ ไปจนถึงซาวด์ดนตรีแบบ traditional ของญี่ปุ่นเอง หลายคนจัดหมวดแนวดนตรีของ Kokeshi ไว้ในกลุ่ม blackgaze ซึ่งก็ถือเป็นคนอธิบายแนวทางที่ชัดเจนมากคำหนึ่ง

จุดเด่นหนึ่งของ Kokeshi นอกเหนือจากดนตรีที่เข้มข้นสะใจในแนวทางที่นำเสนอออกมา คือเรื่องของ theme วง ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความหลอนในวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเอง (ทางวงใช้คำเรียกตัวเองว่าเป็นวงที่มีความเป็น J-horror inspired) และในการแสดงสด นานะ นักร้องนำของวงก็ทำการแสดงออกมาได้ราวกับกำลังทำพิธีการบางอย่างอยู่จริง ๆ

 

ผลงานที่ผ่านมา

จากการเริ่มต้นแบบคิดเองทำเองในระดับ underground ในช่วงแรก Kokeshi ถือเป็นวงที่สร้างชื่อในซีนได้รวดเร็วมากวงหนึ่ง โดยเฉพาะอัลบั้มแรกอย่าง Doukei (憧憬) ที่ทำเองขายเองในปี 2020 ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้คนในซีนเป็นอย่างมาก (ติดอันดับ 4 ชาร์ตเพลงเมทัลบน Apple Music)

หลังจากนั้นผลงานทางวงไปเข้าตาค่ายเพลง Tokyo Jupiter Records และมีผลงานตามมาอีกชุดชื่อว่า Reikoku (冷刻) ในปี 2023 ชุดนี้ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าที่เคยทำไว้ก่อนหน้า ด้วยการติดชาร์ตเดิมบน Apple Music ทั้งในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงประเทศอื่น ๆ อาทิ เวียดนาม (อันดับ 1) รัสเซีย (อันดับ 2) และไทย (อันดับ 16) เป็นต้น

นอกจากเรื่องของเพลง การออกทัวร์ของ Kokeshi ก็ได้รับเสียงตอบรับจากแฟน ๆ ที่ดีไม่แพ้กัน เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา โชว์สุดท้ายในทัวร์ Deeply Depressed Tour 2023 ที่กรุงโตเกียวสามารถขายบัตรหมดได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง รวมถึงเข้ารอบสุดท้ายไปเป็น finalist ในการแข่งขัน W:O Metal Battle Japan 2024 เพื่อหาวงดนตรีไปแสดงในงาน Wacken Open Air และเคยออกทัวร์ญี่ปุ่นในฐานะวงซัปพอร์ตให้กับ Svalbard วงโพสต์เมทัลตัวจี๊ดจาก UK มาแล้ว (และล่าสุดกับ Rolo Tomassi)

สำหรับคนที่อยากรู้จักความเจ๋งของ Kokeshi ลองเริ่มต้นกันง่าย ๆ ได้ที่เพลย์ลิสต์ด้านล่าง

 

อย่าพลาด KOKESHI Live in Bangkok!

จากทั้งหมดที่เล่ามา คงทำให้พอเห็นภาพ ‘ขาขึ้น’ ของวงดนตรีไฟแรงจากญี่ปุ่นวงนี้กันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะยิ่งใหญ่และหาดูได้ยากไปมากกว่านี้ ทัวร์ Southeast Asia ครั้งนี้มีเพียงสองประเทศเท่านั้น (ไทย, เวียดนาม)

ในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ ทางวงจะมาเปิดการแสดงที่ประเทศไทยให้ทุกคนได้ดูกันเป็นครั้งแรก ในงาน 「KOKESHI Live in Bangkok 2024」 พร้อมกองทัพวงดนตรีร่วมเผาหัวเติมความเดือดกันอีกคับคั่ง ทั้ง Sedative จากออสเตรเลีย, G6PD, Ugoslabier, และ Sinners Turned Saints ชุดใหญ่จากเมืองไทยที่รอต้อนรับทุกคนอยู่

เจอกัน De Commune บัตรราคา 700 บาท เปิดจำหน่ายแล้ววันนี้ทาง Ticketmelon รีบจัดก่อนหมด อดไป พลาดอีกหลายปีแน่นอน 🫵

Kokeshi Live in Bangkok

 

เรียบเรียงเนื้อหาจาก kokeshi-jpn.com โดย Razor Riff Editorial Staff