mutation-demo

New Release: ชวนฟังเดโมโคตรสะใจจากวงฮาร์ดคอร์ไทยหน้าใหม่ Mutation

เร็ว ๆ นี้มีวงฮาร์ดคอร์ก่อตั้งใหม่ออกผลงานที่น่าสนใจออกมาอีกหนึ่งชิ้น เป็นอัลบั้มเดโมของวงดนตรีสัญชาติไทยที่มีชื่อว่า Mutation ซึ่งหลังจากที่พวกเรา Razor Riff ได้ทดลองฟังดูแล้ว ต้องบอกเลยว่าเป็นผลงานที่ไม่นำมาบอกต่อไม่ได้

ถ้าคุณเป็นคนชอบเพลงที่มีทั้งความหนักแบบฮาร์ดคอร์ และมีลูกเล่นสอดแทรกระหว่างทาง อัลบั้ม Demo ชุดนี้น่าจะตอบโจทย์ในระดับหนึ่งเลย เพราะผลงานโดยรวมยืนพื้นสไตล์เมทัลลิกฮาร์ดคอร์ บางช่วงมีริฟฟ์กีตาร์ฟังสนุกหูที่ตอบโจทย์คนฟังเพลงเมทัล บางช่วงอาจมีพักไปใส่ท่อนคลีนบ้าง หากเปรียบเดโมชุดนี้เป็นอาหารคอร์สก็ถือว่าเสิร์ฟได้ครบรสทีเดียว

ฟังกันบนช่องยูทูบของวงได้ที่ mutationwrld หรือคลิกลิงก์นี้ได้เลย และถ้าหากต้องการติดตามผลงานของวงโดยตรง สามารถเข้าไปกดฟอลโลวกันได้บนเฟซบุ๊กที่เพจ mutation.world และอินสตาแกรม @mutation.world ครับ

รออัลบั้มแรกอยู่นะ!

 

Mutation (DEMO)

sedative

「Road to Kokeshi EP.4」 Sedative วงฮาร์ดคอร์ออสซีกับดนตรีหลากรส ที่เราไม่อยากให้คุณพลาด

นอกจากวงเมทัลจากฝั่งประเทศไทยเองอย่าง G6PD, Ugoslabier, และ Sinners Turned Saints ที่จะมาเล่นเปิดงาน Kokeshi Live in Bangkok ในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายนนี้ (ซึ่งเราเขียนถึงไปก่อนหน้านี้แล้ว) เรายังมีอีกหนึ่งแขกรับเชิญพิเศษเป็นวงฮาร์ดคอร์สายเลือดใหม่จากเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลียนามว่า Sedative ที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในซีนเพลงสายหนักแดนจิงโจ้มาเป็น opening act ด้วยกันอีกหนึ่งวง และวันนี้คอลัมน์พิเศษ Road to Kokeshi ก็จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้นอีกนิด

แรกเริ่มเดิมทีพวกเขาใช้ชื่อว่า Grenade Brain (ซึ่งไม่จำเป็นต้องจำอีกต่อไป) แต่เปลี่ยนมาเป็น Sedative และปล่อยซิงเกิลแรกชื่อ “Cough Medicine” ให้ฟังในช่วงกลางปี 2021 และด้วยเสียงตอบรับที่ดี ในปีแรกพวกเขามีงานเพลงในรูปแบบซิงเกิลปล่อยออกมาให้ซีนเพลงสายหนักในออสเตรเลียได้รู้จักกันถึง 3 เพลงด้วยกัน (อีกสองเพลงคือ “No Hard Feelings” และ “Vile”) การเริ่มต้นถือว่าเป็นไปได้สวย ได้รับความสนใจจากสื่อในประเทศ อาทิ สถานีวิทยุ Triple J รวมไปถึงบรรดาซีนต่าง ๆ อย่าง Kill Your Stereo, Heavy Mag, Maniacs และอีกหลาย ๆ เจ้า

และตามธรรมชาติของคนมีไฟ เครื่องจักรผลิตเพลงโหดจึงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในปี 2022 พวกเขาคลอดอัลบั้มเต็มชุดแรก (และชุดเดียวจนถึงตอนนี้) ชื่อว่า Death Romantic ออกมา ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับที่ โดยไม่ใช่แค่จากแฟน ๆ หรือสื่อต่าง ๆ แต่ยังสร้างไมล์สโตนใหม่ด้วยการได้ขึ้นปกเพลย์ลิสต์ Homegrown and Heavy ที่แนะนำวงท้องถิ่นสายหนักของออสเตรเลียบน Spotify ในช่วงเดือนเมษายนปีเดียวกัน

 

 

จุดเด่นของ Sedative คือความหลากหลายของดนตรีที่ทำให้การแปะป้ายแนวเพลงของพวกเขาเป็นไปได้ยาก เวลาปล่อยตัวเพลงใหม่ บางสำนักเรียกพวกเขาว่าเป็นวงเมทัลลิกฮาร์ดคอร์ บ้างเรียกเมทัลคอร์ หรือไปถึงขั้นเดธคอร์เลยก็มี หากเปรียบให้เห็นภาพเป็นถนนสายหนึ่ง เส้นทางหลักที่พวกเขาขับไปคือถนนสายฮาร์ดคอร์อย่างแน่นอน ทว่าอาจจะมีแวะเข้าซอยยิบย่อยรายทางไปหาเมทัลคอร์บ้าง เดธคอร์บ้าง แสลมบ้างตามแต่วงจะอยากทำและเห็นสมควร (ก็ดีครับไม่น่าเบื่อ)

อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้ Sedative ทะยานขึ้นมาเป็นที่รู้จักนอกประเทศในเวลาอันสั้น ก็คือแรงใจในการผลักดันวงให้ออกมานอกเมืองเพิร์ธบ้านเกิดตัวเองโดยไม่ต้องรอให้ใครพาออกมา ซึ่งเรื่องนี้วงเคยให้สัมภาษณ์ไว้ครั้งหนึ่งกับนิตยสาร Hysteria Magazine ด้วยว่า:

 

“เรายืนกรานกันหนักแน่นมาตั้งแต่ช่วงแรกของวงนี้แล้วครับว่า เราจะไม่เป็นแค่วงดนตรีทั่วไปวงนึงจากเพิร์ธ ซึ่งมีหลายวงที่ติดอยู่กับกับดักตรงนี้ พวกเขามัวแต่พยายามที่จะได้รับ ‘การยอมรับ’ จากคนกลุ่มเดิม ๆ ที่ติดอยู่ในนั้นมาตลอด”

“เพราะงั้น เราก็เลยตั้งใจว่าจะออกทัวร์ด้วยตัวเองกันให้ได้ตั้งแต่แรกแล้วครับ และเราก็ทำได้ตามนั้นจริง ๆ ในปีแรกของวงเราออกมาเล่นนอกเพิร์ธถึงสองครั้ง ครั้งแรกเล่นโชว์เดียว แล้วหลังจากนั้นก็เป็นการทัวร์ออสเตรเลียทั่วประเทศ ซึ่งเราทำทั้งหมดด้วยตัวพวกเราเอง ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญสำหรับพวกเราสุด ๆ เพราะความทุ่มเทแบบไม่หยุดยั้งเขาของเรานี่แหละครับ ที่มันเปลี่ยนมาเป็นโอกาสดี ๆ มากมายซึ่งเราได้รับมาในตอนนี้ ซึ่งเรารู้สึกยินดีกับมันเป็นอย่างมาก”

 

 

และหลังจากการพาตัวเองออกมาจากเพิร์ธ ก็ทำให้ปัจจุบัน Sedative มีประวัติการแสดงในงานเดียวกับวงดนตรีเจ๋ง ๆ ในแวดวงเพลงสายหนักมาแล้วหลายต่อหลายวง ทั้ง Fit for An Autopsy, Within Destruction, Signs of the Swarm, Xibalba, Within Destruction รวมถึงมีทัวร์ออสเตรเลีย (ร่วมกับวง Catalyst) ชื่อว่า Cybertour 2022 เพื่อแจกจ่ายความฮาร์ดคอร์ในสไตล์ของพวกเขาให้ผู้คนในออสเตรเลียได้รับชมและออกแข้งออกขาในมอชพิตกันอย่างทั่วถึง

และในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ Sedative ก็จะมาทำความรู้จักกับคอเพลงสายหนักชาวไทยเป็นครั้งแรกที่งานคอนเสิร์ต Kokeshi Live in Bangkok โชว์เต็มรูปแบบครั้งแรกของวงแบล็กเกซสุดเจ๋งจากกรุงโตเกียว งานนี้เรารับประกันได้เลยว่าใส่สุดเรื่องความหนักหน่วงกันตั้งแต่วงแรกยันวงสุดท้ายแน่นอน

บัตรพรีเซลยังมีให้จับจองเป็นเจ้าของกันอยู่ในราคาเบา ๆ เพียง 700 บาท (5 วง!) ซื้อกันได้เลยตอนนี้ที่เว็บไซต์ Ticketmelon ลิงก์นี้ ticketmelon.com/razorriff/kokeshi หารแล้วเหลือวงละไม่เท่าไหร่ แล้วมาเจอกันได้ที่ De Commune ในอีกไม่วันที่จะถึงนี้ครับ!

 

Kokeshi Live in Bangkok

sinners-turned-saints

New Release: “Lethum” เพลงใหม่ล่าสุดจากวงโพสต์แบล็กไทย Sinners Turned Saints

Sinners Turned Saints วงดนตรีแนวโพสต์แบล็กเมทัล/แบล็กเกซสัญชาติไทย เปิดตัวมิวสิกวิดีโอเพลงใหม่ “Lethum” อีกหนึ่งผลงานที่จะรวมอยู่ใน Metempsychosis อีพีชุดแรกของวงออกมาให้รับชมและรับฟังกันแล้ว

เพลงนี้แตกต่างจาก 3 เพลงที่วงจะบรรจุไว้ในอีพีชุดเดียวกัน (Metem, Lament, และ Wither) อย่างเห็นได้ชัดในสองเรื่องใหญ่ ๆ หนึ่งคือเรื่องของความยาวเพลง ที่เปลี่ยนจากผลงานระดับ 10-20 นาที ให้ลงมาอยู่ที่ราว 4 นาทีครึ่ง ซึ่งเป็นความสั้น-กระชับแบบที่ไม่ได้เห็นจากวงมาพักใหญ่

ส่วนเรื่องที่สองคือวิธีการนำเสนอ อาจเพราะครั้งนี้ตั้งใจทำเพลงสั้น จึงกลายเป็นการใส่สุดแบบสับแหลกสาดอุปกรณ์ดนตรีทุกชิ้นใส่หน้าคนฟังกันตั้งแต่ต้นเพลง ควบคู่กันไปกับเสียงร้องที่แผดออกมาอย่างดิบเถื่อน ซึ่งเข้ากันกับภาคดนตรี และช่วยสร้างความน่าขนลุกสมกับคอนเซปต์เพลงซึ่งเน้นไปที่เรื่องชีวิตและความตาย (คำว่า ‘lethum’ เป็นภาษาละติน มีความหมายว่า ‘ตาย’)

อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า กับการออกเพลงใหม่รอบนี้ ไม่มีคำว่าสโลว์เบิร์น แต่มาแบบเดินหน้าท้าชน และเป็นการประกอบรวมร่างอีพีชุด Metempsychosis นี้ให้ครบถ้วนกระบวนชีวิตซึ่งว่าด้วยการ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ที่ผูกอยู่กับในแต่ละเพลงที่ทำออกมาก่อนหน้านี้ด้วย ซึ่งพอทราบแบบนี้แล้วการกลับไปฟังผลงานทั้งหมดใหม่อีกครั้งก็ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกว่าตอนฟังแยกเป็นเพลง ๆ ไปมากทีเดียว

 

Sinners Turned Saints | LETHUM

 

Sinners กำลังจะมีคิวขึ้นแสดงในฐานะวงเปิดให้กับ Kokeshi ในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ ที่ De Commune ร่วมกับมิตรสหายร่วมวงการอีกหลายวง ทั้ง G6PD, Ugoslabier, และ Sedative จากประเทศออสเตรเลีย หากใครสนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ หรือซื้อบัตรพรีเซลราคา 700 บาทกันได้ทันทีผ่านเว็บไซต์ Ticketmelon ที่ลิงก์นี้

ติดตามผลงานของ Sinners Turned Saints ได้ที่เฟซบุ๊กและอินสตาแกรมตามรายการด้านล่าง

Facebook: Sinners Turned Saints
Instagram: @sinnersturnedsaints_th

g6pd

「Road to Kokeshi EP.3」 G6PD วงเมทัลคอร์จากเชียงใหม่ กับความพร้อมใส่สุดในทุกโชว์ที่ได้ไปเยือน

มาก่อกันกับ Road to Kokeshi คอลัมน์พิเศษปูทางก่อนถึงคอนเสิร์ต Kokeshi Live in Bangkok ที่เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับเหล่า opening acts แต่ละวงให้มากขึ้นกันอีกเล็กน้อยก่อนถึงวันงาน ก่อนหน้านี้เราเขียนถึงวงโพสต์แบล็กเมทัลไฟแรงสูง Sinners Turned Saints และวงโพสต์ฮาร์ดคอร์สายทำลายล้างอย่าง Ugoslabier กันไปแล้ว ในบทตอนที่สามที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่ตอนนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับโคตรวงเมทัลแห่งแดนเหนือชื่อว่า “G6PD”

หากพูดถึงความกัดฟันอดทนสู้ในวงการเพลงไทย การที่คุณไม่ได้เล่นดนตรีกระแสหลัก คือความยากอันดับแรก และความยากลำดับถัดมาคือการไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงประชากรล้นเกินรับไหวอย่างกรุงเทพมหานคร เพราะผลลัพธ์ของเรื่องนี้คือการที่ซีนดนตรีในแนวที่ชื่นชอบจะเล็กลงไปอีกหลายเท่าตัว และทำให้การรวมตัวกันทำวงดนตรีเมทัลขึ้นมาซักวง (ให้แจ้งเกิด) เป็นเรื่องไม่ง่าย

เช่นเดียวกับวงดนตรีสายร็อกแทบทุกวงบนโลกใบนี้ G6PD เริ่มต้นกันแบบทำเองขายเอง แบบที่มีคำเรียกติดปากว่า D.I.Y. (Do it yourself) แต่ความดีไอวายตรงนี้ก็ดีพอที่จะไปเข้าตาของพี่ สมศักดิ์ แก้วทิตย์ หนึ่งในสมาชิกวงเมทัลรุ่นใหญ่ของไทยอย่าง ดอนผีบิน และกลายเป็นการเซ็นสัญญาเข้าเป็นศิลปินในสังกัด Day One Records (ในทรรศนะของผู้เขียน เรามองว่าวงออกสตาร์ตได้ดีกว่าหลาย ๆ วงในเมืองกรุงเสียอีก)

 

 

และด้วยความที่เนื้อเพลงส่วนใหญ่ในผลงานยุคแรก ๆ ของวงหนักไปทางภาษาไทย บวกกับความเข้มข้นในผลงานที่เข้าตาแวดวงคนฟังเพลงทางเลือก ก็ทำให้อัลบั้มแรกอย่าง Past of Pieces ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลสีสันอวอร์ดส์ในสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมด้วย หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้งานชุดนี้เข้าเกณฑ์คือการสื่อสารเรื่องราวในภาษาไทยเป็นหลัก เพราะถ้าขาดตรงนี้ไป ให้งานออกมาดีแค่ไหนก็จะไม่เข้าเกณฑ์ตรงนี้ ตรงนี้ก็เป็นอีกไมล์สโตนหนึ่งที่ปักหมุด G6PD ลงบนแผนที่ประเทศไทยในยุคแรกเริ่มไว้อย่างแข็งแรงและมั่นคง

หลังจากออกอัลบั้มที่สอง The Grand Murder กับค่ายเดย์วันในปี 2007 ผลงานในยุคหลังจากนั้นหันทำมาเองปล่อยเองกันอยู่พักใหญ่ มีงานโดดเด่นอยู่หลายชิ้น เช่นซิงเกิล “The Resistance” ที่ได้พี่เอ๋ นักร้องนำวง Ebola มาแจมด้วย หรืองานชุด Objective Reality เป็นต้น แต่ช่วงที่เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในยุคล่าสุดของวงจริง ๆ และไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือการเข้ามาอยู่ใต้บ้านหลังใหม่อย่าง VOM Records ค่ายเพลงเมทัลที่มีเบื้องหลังเป็นพี่โอ๊ค วง Big Ass และพี่สมเมย์วง Labanoon เพราะด้วยดีเอ็นเอความเป็นเมทัลเฮดที่วงมีอยู่แล้ว ผนวกเข้ากับประสบการณ์ในตลาดเพลงไทยของผู้บริหารค่าย ก็ต้องบอกตามตรงว่า นี่คือช่วงเวลาของการใส่สุด

หากฟังผลงานยุคก่อนหน้าของวง แล้วข้ามมาฟัง “The Red Falls” ที่ออกมาเมื่อสองปีก่อน จะสัมผัสได้เลยว่า ถึงแม้จะเป็นวง G6PD วงเดิม ที่เล่นดนตรีเมทัลคอร์เหมือนเดิม แต่ทุกอย่างถูกตีบวกขึ้นแบบจุใจ ไม่ใช่นักรบป่าเถือนตามป่าเขาแต่เป็นอัศวินเกราะเหล็กที่พร้อมรบทุกสมรภูมิ ช่วงหนึ่งมีการลองของ เปลี่ยนกลิ่นใหม่ ด้วยการดึงเอาหนึ่งในแร็ปเปอร์ที่ iconic โคตร ๆ คนหนึ่งของเมืองไทยอย่าง VKL (ที่หลายคนจำได้แค่เป็นลูกชายหม่ำ จ๊กมก แต่เราอยากบอกว่าในสายฮิปฮ็อปแล้ว VKL นี่ของจริง ไปลองฟังกันได้) มาแจมด้วยกัน ผลงานเพลงนั้นชื่อ “Outcasts”

 

 

Outcasts เป็นเพลงลูกผสมระหว่างเมทัลคอร์ดุดันสับแหลก ที่ผ่าตัดใส่ความแปลกเข้ามาเป็นท่อนเซิ้งผสมแร็ป แปลกเมื่อฟังครั้งแรก แต่เวลาผ่านไปต้องกลับมาฟังใหม่ด้วยความอร่อยหู (ฟีลบ้านงานมันอยู่ในสายเลือด) เพลงเมทัลคอร์ที่ท่อนโซโล่เซิ้งได้ในประวัติศาสตร์ประเทศไทยมันมีกี่เพลงกันเชียวคุณ

หลังจากทดลองทำนั่นทำนี่กันในรูปแบบซิงเกิลอยู่หลายเพลง ล่าสุด G6PD มีอีพีชุดใหม่ภายใต้ชายคา VOM Records ออกมาแล้ว ชื่อ All Eyes Under God หลัก ๆ เป็นการนำเพลงที่ปล่อยออกมาก่อนหน้ามารวมไว้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เปิดด้วยเพลง “Dying Sky” ที่ปูพรมเข้าเพลงด้วยซาวด์พื้นบ้านล้านนาให้รู้ว่าเป็นคนบ้านไหน (และไม่ได้ทำกันแบบติดเล่น แต่ได้ ครูแอ๊ด-ภานุทัต อภิชนาธง ศิลปินพื้นเมืองเชียงใหม่มาร่วมทำเพลงด้วยอย่างจริงจัง) และงานเพลงใหม่ล่าสุดชื่อเดียวกับอีพีชุดนี้อย่าง “All Eyes Under God” ก็วางอยู่ในตำแหน่งปิดท้ายให้ได้ทำความรู้จักกับยุคล่าสุดของวงกันอย่างเข้มข้น

 

 

หนึ่งใน key takeaway สำคัญในการยืนวงการของ G6PD ที่ทำให้วงอยู่คู่ซีนเพลงเมทัลไทยมาได้ถึงสองทศวรรษคือการเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะหากพูดกันตามตรง เมทัลคอร์ ก็ไม่ใช่สายธารหลักให้คนเล่นเพลงสายหนักได้ลงไปแหวกว่ายกันแล้ว แต่ถ้าเรารู้ว่าวงดนตรีวงนี้มีอยู่เพื่อสร้างผลงานแบบไหน เรื่องกระแสอาจไม่จำเป็นและไม่สำคัญเท่าการเดินหน้าทำผลงานให้ดี และทั้งตัวเพลงและการแสดงสดของ G6PD ตลอดหลายปีที่ผ่านก็พิสูจน์แล้วว่า วงเมทัลจากเชียงใหม่วงนี้ ‘มีของ’ พร้อมปล่อยอีกมากมาย

แล้วมาเจอกันกับโชว์ต่อไปของ G6PD ได้ที่คอนเสิร์ต Kokeshi Live in Bangkok การแสดงสดของวงดนตรีแนวแบล็กเกซที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความหลอนสไตล์ J-horror ส่งตรงจากกรุงโตเกียว ในวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายนนี้ที่ De Commune และ พิเศษ! นอกจากที่ไทย ในวันถัดไป G6PD ก็จะไปเล่นในเทศกาลดนตรี BLVCK ที่กรุงฮานอยต่อ โดยในงานนี้ก็จะมี Kokeshi เป็นเฮดไลน์ด้วยเช่นกัน ใครอยากตามไปเชียร์ก็บินตามกันได้ แต่ถ้าเอาที่เมืองไทยแบบพอหอมปากหอมคอ ก็เข้าไปกดบัตร pre-sale ราคา 700 บาทกันที่เว็บไซต์ Ticketmelon ที่ลิงก์นี้ได้เลย แล้วเจอกันวันงาน Razor Riff ยิน
ดีให้บริการและรับประกันความมันนนนนนนนนนนนนนนส์แบบเต็มเม็กซ์

⛩️ KOKESHI Live in Bangkok ⛩️
ซื้อบัตร คลิก: ticketmelon.com/razorriff/kokeshi

 

Kokeshi Live in Bangkok

 

ปล. นอกจากผลงานในนามวง G6PD แล้ว เรามี side story ที่น่าสนใจมาให้อ่านกันเพิ่มเติม เป็นบทสัมภาษณ์ของพี่ ต้องจี้ มือกีตาร์ของวง ในฐานะ art handler ผู้ติดตั้งงานศิลปะ อีกหนึ่งอาชีพที่มีเรื่องราวน่าสนใจไม่แพ้วงเมทัลจากเชียงใหม่วงนี้ หากสนใจ คลิกอ่านเพิ่มเติมกันที่นี่ได้เลย: Lanner Joy: สำรวจมุมมองนักติดตั้งผลงานศิลปะจากเชียงใหม่ และก้าวใหม่แห่งการก่อตั้ง “New Found Art Handler”

ugoslabier

「Road to Kokeshi EP.2」 Ugoslabier วง Post-Hardcore ตัวจี๊ดที่พร้อมเสิร์ฟความพังพินาศทุกครั้งที่ขึ้นเวที

กลับมาพบกับคอลัมน์พิเศษ Road to Kokeshi กันอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เราพูดถึง Sinners Turned Saints วงดนตรีแนวโพสต์แบล็กเมทัล/แบล็กเกซสัญชาติไทยที่จะร่วมแสดงเป็นวงเปิดในคอนเสิร์ต Kokeshi Live in Bangkok ในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้กันไปแล้ว (อ่านได้ที่นี่) ในตอนที่สองนี้ เราจะพาไปรู้จักกับโคตรวงโพสต์ฮาร์ดคอร์สายทำลายล้างที่ขึ้นชื่อเรื่องการใส่สุดบนเวทีในทุกครั้งที่ขึ้นแสดง ไม่ว่าจะเป็นงานโชว์ในไลฟ์เฮาส์เล็ก ๆ หรือเวทีใหญ่ไซซ์มหากาพย์ในแบบฉบับของเทศกาลดนตรี

พวกเขาคือ Ugoslabier

วงดนตรีชื่อประหลาดที่ไม่ได้มาจากสาธารณรัฐยูโกสลาเวียวงนี้ ประกอบด้วยนักร้องนักดนตรีขาโหดสัญชาติไทย 5 ท่าน คืออ้อ นักร้องนำ, โอ๋ & โอ๊ต มือกีตาร์, กัณฑ์ มือเบส และน้ำมนต์ มือกลอง—คนที่ติดตามซีนเพลงสายหนักเมืองไทย น่าจะคุ้นเคยชื่อของ Ugoslabier กันดีอยู่แล้ว เพราะมีงานเพลงและงานแสดงออกมาแบบต่อเนื่องไม่ขาดสาย

 

 

ยูโกฯ ออกสตาร์ตเส้นทางดนตรีในนามวงนี้กันมาตั้งแต่ปี 2012 ด้วยการรวมตัวกันของเพื่อน ๆ นักดนตรีที่เคยทำงานเพลงในนามวงอื่นกันมาก่อน (ยุคแรกมีนักร้องนำเป็น พอล โซลิส แห่งวง Housetrap ที่ปัจจุบันย้ายฐิ่นฐานกลับบ้านเกิดที่ประเทศสก็อตแลนด์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว) ด้วยความที่มีประสบการณ์กันมาก่อนทุกคน ไม่ได้เป็น novice เกิดใหม่ ก็ทำให้ผลงานชุดแรกอย่าง The Republic of Ugoslabier คลอดออกมาแบบเข้าที่เข้าทางและจัดวางที่ทางให้วงได้ยืนในซีนดนตรีสายหนักเมืองไทยได้โดดเด่นและเห็นชัดกว่าวงหน้าใหม่หลาย ๆ วง ณ เวลานั้น วงมีครบหมดทั้งฝีมือการแต่งเพลงแบบทำเองล้วน ๆ ด้วยสัญชาตญาณแบบคนยุคอนาล็อก สไตล์การแสดงสดเหมือนเข้าโหมด berserk ตลอดเวลา และการเขียนเนื้อเพลงภาษาอังกฤษที่เล่าเรื่องราวอย่างตั้งใจ

สำหรับความตั้งใจในการเล่าเรื่อง เราแนะนำให้ลองไปเปิดเนื้อเพลงผลงานไตรภาคว่าด้วยความโกลาหลในจิตใจมนุษย์ในโปรเจกต์ Inverse ซึ่งประกอบไปด้วยสามเพลง คือ Misanthrope, Vicious Realm และ _ (เรียกว่า underscore) ดู แล้วจะรู้ว่าการผลักดันการเล่าเรื่องราวไปสุดทางเป็นเช่นไร

และอีกหนึ่งพัฒนาการทางดนตรีที่น่าสนใจของ Ugoslabier คือ โดยทั่วไปแล้ววงดนตรีร็อก ยิ่งแก่ขึ้นผลงานที่ปล่อยออกมาจะเบาลงและหันไปหาทิศทางที่เสพง่ายย่อยง่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ใช่กับ Ugoslabier เพราะวงเลือกเติมความโหดหนักบ้าคลั่งเข้าไปในตัวงานเรื่อย ๆ หากคุณฟังเพลงเปิดตัวอย่าง “Closer Than Ever” แล้วไปฟังผลงานล่าสุดอย่าง “Tear Up the Cage” ที่เพิ่งปล่อยออกมา หรือ “Locked in Syndrome” ที่ชวน แม็ก The Darkest Romance มา (ผู้ซึ่งสามารถทำได้ทั้งเพลงเมทัลหนัก ๆ และเพลงช้าเพราะ ๆ) ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง ต้องบอกว่าวัยที่เพิ่มขึ้นมาไม่ได้ช่วยให้ลูกบ้าของวงลดลงเลย (ดีแล้ว)

 

 

ทว่า ถ้าแค่ทำเพลงได้ดี ผลงานก็โดนใจได้แค่คนฟัง ในส่วนของการแสดงสด Ugoslabier ถือว่าโคตรบ้าพลังและพร้อมลากทุกคนมาแจกจ่ายความพังด้วยกันในพื้นที่มอชพิตหน้าเวทีแบบสุดตัว หนึ่งในตำนานที่เราชื่นชอบเสมอมาคือครั้งที่คุณ กัณฐ์ มือเบสของวงกระโดดลงมาจากระเบียงชั้นสองของร้านที่จัดงาน จนได้รับอาการบาดเจ็บที่เรียกว่า ‘ขาหัก’ มาประดับเป็น achievement unlocked ครั้งสำคัญของร่างกาย ถึงขั้นที่หลังจากนั้นวงต้องเดินทางไปเล่นเปิดให้ After the Burial ที่เวียดนามกันแบบไม่มีมือเบส

และด้วยความบ้าพลังตรงนี้เองก็ทำให้วงดนตรีหลาย ๆ วงอยากร่วมงานด้วย เช่นวงเมทัลลิกฮาร์ดคอร์จากฮ่องกงชื่อ Dagger ที่ชวน Ugoslabier มาทำสปลิตอัลบั้มชื่อ In Grievance ด้วยกันในปี 2019 หรือล่าสุดก็เป็นฝั่งวงพาวเวอร์ไวโอเลนซ์จากอเมริกาอย่าง Full of Hell ที่พายูโกฯ ไปทัวร์เอเชียด้วยแบบลากยาวตลอดสัปดาห์ ไล่มาตั้งแต่เกาหลีใต้ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ก่อนจะมาใส่สุดกันที่เมืองไทยให้เละเทะแบบสบายใจไม่ต้องตื่นไปเช็กอินขึ้นเครื่อง รวมถึงเป็น 1 ใน 12 วงดนตรีที่ได้รับเลือกในโครงการ Music Exchange ครั้งที่ 3 ของ Thailand Creative Culture Agency (THACCA) ร่วมกับวง Yonlapa, Whispers และอีกหลาย ๆ วงในการส่งออกซอฟต์พาวเวอร์(แนวทางเลือก)ของไทยไปให้ต่างชาติได้รู้จักกัน

 

 

หากอยากทำความรู้จักกับ Ugoslabier แบบครบ ๆ เราแนะนำให้ลองฟังทุกอย่างที่วงลงไว้บน Spotify เพราะไม่ได้มีเยอะนัก 1) อีพีชุดแรก 2) อัลบั้ม Brew Heart ปี 2017 3) อัลบั้มสปลิตปี 2019 กับวง Dagger และ 4) ซิงเกิลหลังจากนั้นไล่มาจนถึงปัจจุบัน แต่ถ้าเอาแบบเบื้องต้นเพื่อให้เข้าใจบรรยากาศในการแสดงสดของวง ขอแนะนำให้เลือกผลงานยุคหลังย้อนไปถึงประมาณปี 2018 (หลังออกอัลบั้มแรก) เพราะเซ็ตเพลงจะเลือกจากช่วงนี้เป็นหลัก

หากคุณผู้อ่านต้องการมาสัมผัสความ ‘สด’ ‘เดือด’ ‘บ้าพลัง’ ในแบบฉบับของ Ugoslabier พวกเราทีมงาน Razor Riff ก็ขอเรียนเชิญทุกคนมาดูพวกเขากันที่หน้าเวที De Commune กันได้ที่งานคอนเสิร์ต Kokeshi Live in Bangkok ในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ นอกจาก Kokeshi และ Ugoslabier แล้ว ยังจะมี Sedative วงฮาร์ดคอร์จากออสเตรเลีย G6PD วงเมทัลคอร์จากเชียงใหม่ และ Sinners Turned Saints ที่เราเขียนถึงไปก่อนหน้านี้ร่วมแสดงด้วย บัตร pre-sale ราคา 700 บาทเท่านั้น (วันงาน 900) แล้วอย่าลืมมาเจอกัน มันด้วยกันแบบครบ ๆ ครับผม มั่นใจว่าสะใจเต็มข้อแน่นอน ซื้อบัตรที่ลิงก์นี้ได้เลย ticketmelon.com/razorriff/kokeshi เจอกัน!

 

Kokeshi Live in Bangkok

chainfight

Chainfight วงฮาร์ดคอร์จาก Holding On Records ปล่อยงาน EP ชุดแรกออกมาให้ฟังแล้ว

หลังจากที่ปล่อยผลงานมาแนะนำตัวกันไปคร่าว ๆ (00 / Bury / Backstabber) ล่าสุด Chainfight วงฮาร์ดคอร์หน้าใหม่จาก Holding On Records ก็คลอดผลงานอีพีชุดแรกออกมาแล้ว อัลบั้มนี้ใช้ชื่อเดียวกับชื่อวงแบบเรียบง่ายตรงไปตรงมา สื่อสารกันแบบชัดเจนว่านี่คือแนวทางที่พวกเขาจะใช้เป็นมาตรฐานในการสร้างผลงานต่อไปนับจากนี้

EP Chainfight ประกอบไปด้วย 6 เพลง ซึ่งได้แก่สามเพลงที่พูดถึงไปก่อนหน้า และเพลงที่เพิ่งปล่อยออกมาพร้อมอัลบั้มอีกสามเพลง (Ten Inches Away / Unconscious Melodies / Your Contemp, My Hate) กับความยาวราว ๆ ไม่ถึง 20 นาที ขนาดกระชับตามมาตรฐานของงานอัลบั้มเพลงฉบับอีพี พร้อมซาวด์ดนตรีฮาร์ดตอร์/เมทัลสำเนียงต้นยุค 2000s เข้ากระทำการกระชากโสตประสาตไม่พักตลอดระยะเวลาการฟัง

 

 

Chainfight เป็นวงดนตรีที่เกิดจากการรวมตัวกันของนักดนตรีฮาร์ดคอร์และเมทัลในเมืองไทยที่หลายคนคุ้นเคยฝีมือกันดีอยู่แล้ว ในวงมีสมาชิกจากทั้ง Ecchymosis, Smallpox Aroma, Savage Deity, Fordecision, Defect ผนึกกำลังกันอยู่อย่างเหนียวแน่น เพราะฉะนั้นแล้วเรื่องการแสดงสดถือว่าไม่ต้องกังวล เห็นชื่อวงนี้บนโปสเตอร์งานคอนเสิร์ตที่ไหน อาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านวิ่งเช้าไปในมอชพิตได้เลย

Holding On Records ระบุไว้ในโพสต์บนหน้าเพจเฟซบุ๊กที่ประกาศเปิดตัวอีพีชุดนี้ว่า จะมีการทำเป็นเทปคาสเซ็ตออกมาให้เก็บสะสมกันด้วย ใครอยากสนับสนุนวงกันต่อ รอติดตามข่าวสารจากหน้าเพจของค่ายกันได้ตามสะดวกที่ facebook.com/holdingonrecords

ติดตาม Chainfight ได้ตามช่องทางด้านล่าง
• Facebook: facebook.com/profile.php?id=61562810976501
• Instagram: instagram.com/chainfight

 

rzr-news-blegh-3

คำว่า ”Blegh” ไม่ฟรีอีกต่อไป บริษัทในเยอรมนีจดทะเบียนคำนี้เป็นเครื่องหมายการค้า

สำหรับคนฟังเพลงเมทัล น่าจะรู้จักคำว่า “blegh” ซึ่งใช้เขียนแทนเสียงสำรอกแบบโกยขึ้นมาหมดลำคอ (แบบที่แฟน ๆ วง Architects เมทัลคอร์จากสหราชอาณาจักรเรียกว่าเป็นท่าไม้ตายของ แซม คาร์เตอร์ นักร้องรำ) ล่าสุดจากคำธรรมดา ๆ ทั่วไป ตอนนี้คำนี้กลายเป็นชื่อของเครื่องหมายการค้าของบริษัทหนึ่งในประเทศเยอรมนีไปเรียบร้อยแล้ว

ข้อมูลนี้มาจากร้านค้าออนไลน์ชื่อ Death Sentence จากอังกฤษที่ออกมาโพนต์ผ่านอินสตาแกรมของร้านว่า “คุณว่าคนเราจด trademark ’BLEGH‘ ได้มั้ย? มีคนเพิ่งจดไปนะ!“

 

 

ทำไมร้านค้าจากอังกฤษถึงมีปัญหากับการจดเครื่องหมายการค้าที่เยอรมนี? นั่นก็เนื่องมาจากว่า Death Sentence ร้านค้าสไตล์เมทัล ทำสินค้าที่มีคำนี้จำหน่ายบนเว็บไซต์ Etsy ซึ่งมีการทำธุรกิจในหลายประเทศ รวมถึงเยอรมนีด้วยเช่นกัน และการจดฯ ครั้งนี้ก็ทำให้สินค้าที่มีคำนี้ของร้านทั้งหมดถูกถอดออกจากสโตร์ และทางร้านไม่พอใจมาก ๆ เนื่องจากใช้คำนี้มาก่อนที่จะมีกรณีนี้เกิดขึ้น

แบรนด์ Mindful Maven Studio จากอังกฤษก็เป็นอีกร้านที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ ถึงขั้นใช้บัญชีอินสตาแกรมขอวแบรนด์เข้าไปคอมเมนต์ด่าทอบนโพสต์ของ blegh.de โดยตรงชุดใหญ่ (ภาพประกอบด้านล่าง)

 

 

เท่ากับว่าตอนนี้ Blegh กลายเป็นชื่อแบรนด์ และไม่สามารถนำมาใช้บนสินค้าต่าง ๆ ได้ (เท่าที่เข้าใจคือ หากแพลตฟอร์มนั้นทำการจำหน่ายในเยอรมนีด้วย) และน่าจะกลายเป็นปัญหาไม้เบื่อไม้เมาให้กับเหล่านักออกแบบสายเมทัลให้โต้แย้งเถียงกันไปอีกนาน จะถึงการขึ้นโรงขึ้นศาลหรือไม่ต้องมาติดตามกันต่อไป แต่เท่าที่อ่านจากโพสต์ล่าสุดของแบรนด์ สัมผัสได้ถึงความโกรธเต็มพิกัด เพราะนอกจากระดมทุน ยังมีการแนะนำแนวทางอื่น ๆ ในการต่อสู้ เช่นเชิญชวนให้ผู้คนติดต่อไปยังแบรนด์ Blegh ว่ารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือติดต่อไปยัง Oxford Dictionary เพื่อให้เขียนนิยามคำนี้อย่างเป็นทางการ เป็นต้น

โดยทั่วไป การนำคำทั่ว ๆ ไปมาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสามารถทำได้ หากไม่ได้เป็นการวางตัวว่าเป็นเจ้าของสินค้านั้น ๆ บล็อก Trama ยกตัวอย่างไว้ง่าย ๆ เช่นในกรณีของบริษัท Apple ที่ไม่ได้ขายแอปเปิล จึงสามารถจดทะเบียนผ่านได้โดยง่าย หากเป็นธุรกิจขายแอปเปิลคงจดไม่ผ่านแน่ แต่ในกรณีของคำว่า blegh หากฟ้องร้องกันคงต้องตีความกันอีกไกล โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า ดนตรีเมทัลไม่ได้มีสถานะเป็นป๊อปคัลเจอร์ที่ผู้คนเข้าใจโดยทั่วไปเหมือนธุรกิจอื่น ๆ บนโลกใบนี้

หนึ่งใน scenario ที่น่าสนใจคือ ในเมื่อคำว่า ‘blegh’ กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของแบรนด์หนึ่งอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากนี้หากวงดนตรีที่หลายคนนึงถึงเมื่อพูดถึงคำนี้อย่าง Architects นึกสนุกอยากออกสินค้าที่มีคำนี้ปรากฎอยู่ ก็ไม่สามารถทำได้แล้วด้วยเช่นกัน ถือว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากว่าจะจบลงอย่างไร หากมีอัปเดตเราจะนำมารายงานให้ทราบกันอีกทีในภายหลัง แต่ใครอยากติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้คือ Death Sentence ไปตามกันต่อบนอินสตาแกรม @death.sentence.uk ได้ตามสะดวกครับผม

——

เรียบเรียงเนื้อหาจาก:
It’s Not a Phase Podcast Twitter
• Death Sentence UK Instagram (1, 2, 3)

sinners-turned-saints

「Road to Kokeshi EP. 1」 Sinners Turned Saints เหล่าคนบาปกับดนตรี Post-Black Metal สุดเข้มข้น เหลือล้นทั้งอารมณ์และการแสดง

นอกจากวงหลักอย่าง Kokeshi แล้ว ที่งาน Kokeshi Live in Bangkok ยังมี opening act หรือวงเปิดที่จะร่วมแสดงด้วยอีกมากถึง 4 วง ได้แก่ Sedative วงฮาร์ดคอร์จากประเทศออสเตรเลีย G6PD วงเมทัลคอร์ไทยจากจังหวัดเชียงใหม่ Ugoslabier วงโพสต์ฮาร์ดคอร์สุดบ้าพลัง และ Sinners Turned Saints อีกหนึ่งวงดนตรีดาวรุ่งสาย post-black metal/blackgaze ที่ต้องบอกว่าเป็นอีกวงที่นำเสนอความเป็น ‘งานละเอียด’ ออกมาได้แบบถึงพริกถึงขิงมาก ทั้งในการแต่งเพลงและแสดงสด

ด้วยแนวเพลงที่มีรากฐานเป็นแบล็กเมทัล เราคงไม่ต้องอธิบายมากว่าเพลงของ STS มีความโหดความมันให้คนดูคนฟังได้สะใจกันแน่นอนอยู่แล้ว แต่อีกส่วนที่เด่นไม่แพ้กันคือการสร้างบรรยากาศชวนกดดันเข้ามาล้อมรอบเราเอาไว้ และการจะใช้เทคนิคนี้ให้ได้ผลก็แลกมาด้วยการที่เพลงของพวกเขา ‘ยาว’ กว่าเพลงโดยทั่วไปอยู่ไม่น้อยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น “Metem” ซิงเกิลปี 2020 ที่ทำออกมายาวถึง 10 นาที โดยมีเนื้อเพลงอยู่ที่ราว ๆ เกือบ 70 คำเท่านั้น

 

 

แต่เหมือนวงจะรู้ว่า 10 นาทียังไม่สามารถสื่อสารความเจ็บปวดผ่านบทเพลงได้มากพอ ในปี 2024 พวกเขาจึงกลับมาประกาศศักดากับการทำเพลงในแบบที่เชื่ออีกครั้ง ด้วยซิงเกิล “Lament” เพลงบรรเลงความยาว 22 นาทีที่ปล่อยให้ผู้ฟังหลับตาและตีความความรู้สึกในรูปแบบของตนเองได้ตามสบาย เพลงนี้จัดให้ทั้งบรรยากาศ atmospheric ล่องลอยชวนฝัน ท่อนสับดุดันแบบแบล็กเมทัล ให้อารมณ์วิ่งขึ้นลงเหมือนนั่งรถไฟเหาะขบวนยาว build อารมณ์กันยาว ๆ ก่อนจบด้วยการร้องเพียงท่อนเดียวว่า “Only death is a relief!” ปลดปล่อยทุกอย่างที่สร้างกันมาแบบกระชากหัวใจให้ร่วงหล่นลงไปกองอยู่บนพื้นดิน

นอกจาก Lament แล้ว ปีนี้เหล่าคนบาปยังมีเพลง “Wither” ความยาว 9 นาทีปล่อยมาอีกหนึ่งเพลง (สมเป็นโพสต์แบล็กสมาธิยาว) ซึ่งยังคงยึดคอนเซปต์น้อยแต่มาก คือเนื้อเพลงใช้น้อย แต่เลือกใช้คำในการสื่อสารความรู้สึกให้ออกมาชัดเจน แล้วไปเน้นส่วนดนตรีที่ทำงานกับอารมณ์ผู้ฟังเป็นหลัก เทียบกับสองงานก่อนหน้า เพลงนี้จะมีการไล่อารมณ์แบบ slowburn ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า ก็เป็นการนำเสนออีกรูปแบบที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

หากพูดแบบผิวเผิน แนวดนตรีของ Sinners Turned Saints และวงหลักของงานอย่าง Kokeshi อาจจัดอยู่ในหมวดเดียวกัน แต่ก็ไม่ถือว่าเหมือนกันเสียทีเดียว เรียกได้ว่าชื่อแนวเพลงเป็นเพียงกล่องใบใหญ่กล่องหนึ่ง ที่จัดเก็บของเอาไว้อย่างหลากหลาย ซึ่งจากที่ติดตาม Sinners Turned Saints มา พวกเรามั่นใจมากว่าโชว์ของวงจะเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ ในงานครั้งนี้แน่นอน

 

 

ลองฟังทั้ง 3 เพลงที่เราเขียนถึงไปในโพสต์นี้ได้ที่ youtube.com/@sinnersturnedsaints4049 และสตรีมมิงอีกหลายช่องทาง อาทิ Spotify หรือ Apple Music (แต่ยูทูบฟรีครับ) ทางวงกำลังทำอัลบั้มเต็มชื่อว่า Metempsychosis กันอยู่ ซึ่งหากใครฟังแล้วชอบอาจต้องรอกันอีกสักพักเพราะของอร่อยต้องใช้เวลาปรุงนาน ระหว่างนี้ทำความรู้จักกันด้วย 3 เพลงนี้ไปพลาง ๆ ก่อนได้

และถ้าให้ Razor Riff แนะนำ เราคงต้องบอกว่าวิธีเสพผลงานของ Sinners Turned Saints ให้ได้อรรถรสที่สุดคือการปล่อยตัวปล่อยใจ ปล่อยจอยด้านอารมณ์ความรู้สึกออกไปผ่านเสียงดนตรีให้มากที่สุด เพราะงานของวงเปิดให้เรานำเอาประสบการณ์ของตนเองใส่เข้าไปได้เต็มที่ ผ่านตัวกลางที่เป็นดนตรีความยาวมหากาพย์ของพวกเขานั่นเอง

แล้วมาเจอกัน Kokeshi Live in Bangkok 9 พฤศจิกายนนี้ พร้อม Sinners Turned Saints และอีกหลาย ๆ วงที่รอขึ้นแสดงให้ทุกคนดูอยู่ สามารถจัดบัตร pre-sale ราคา 700 บาทกันได้ทางเว็บไซต์ Ticketmelon ที่ลิงก์นี้ได้เลย: ticketmelon.com/razorriff/kokeshi

 

Kokeshi Live in Bangkok

diw-interview-3

「Interview」 จาก Brutal Death ถึง Love Live! และอีกหลายเรื่องที่คิริว DIW อยากบอกก่อนงาน Anime Conflict

เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่จะมีความชอบที่หลากหลาย และเป็นปกติมาก ๆ ที่เราจะชอบหลายสิ่งอย่างแตกต่างกันไปในคน ๆ เดียว แต่การเลือกหยิบเอาความชอบสองอย่างที่ดูแตกต่างและมีสถานะที่ต่างกันมากมารวมเข้าด้วยกัน ถือเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามและความสามารถไม่น้อยทีเดียว

คีริว จาง (Kiryu Zhang) คือชายหนุ่มชาวจีนที่ชื่นชอบในดนตรีสไตล์บรูทัลเดธเมทัล แสลมมิง และรักในการดูอนิเมะจากประเทศญี่ปุ่นแบบสุดหัวใจ หลังจากที่ความชอบสองสิ่งที่อยู่แยกกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ชีวิตก็นำพาให้เขามาพบคำตอบว่า เขาสามารถนำความโหดของดนตรีที่ฟัง มารวมเข้ากับความน่ารักของอนิเมะที่ชอบดูได้ และนั่นทำให้เกิดเป็นวงดนตรีวงหนึ่งชื่อ Dehumanizing Itatrain Worship ขึ้นมาในท้ายที่สุด

โดยพื้นฐานแล้ว ดนตรีบรูทัลเดธไม่ใช่แนวทางที่เป็นที่นิยมสุด ๆ ในสายร็อกหรือเมทัล แต่ความชัดเจนในแนวทางของคิริวและเพื่อน ๆ สมาชิกในวง ก็เข็นเอา DIW ขึ้นมาเป็นวงดนตรีหน้าใหม่ที่มียอดฟังบน Spotify ทะลุล้านสตรีมได้ในท้ายที่สุด รวมถึงได้ออกเดินทางไปเล่นไกลถึงเทศกาลดนตรีใหญ่อย่าง Death Feast Open Air มาแล้ว …และพวกเขากำลังจะมาไทย

เนื่องในโอกาสพิเศษเช่นนี้ เราจึงดึงเอาตัว คิริว จาง นักร้องนำของวงดนตรี anime slam ชื่อแปลกประหลาด Dehumanizing Itatrain Worship วงนี้มาพูดคุยทำความรู้จักกันคร่าว ๆ ก่อนถึงวันงาน ที่มาที่ไป ความชอบ และอีกหลายเรื่องที่เจ้าตัวอยากบอกกับเราก่อนจะได้มาเจอกันจริง ๆ ที่กรุงเทพในเดือนตุลาคมนี้

 


 

เริ่มแรกเลย ได้ไอเดียการเอาดนตรีแบบบรูทัลเดธ/แสลมมาผสมกับวัฒนธรรมโอตาคุได้ยังไง?

คือ ตัวผมน่ะรักทั้งดนตรีเมทัลแล้วก็วัฒนธรรมโอตาคุมาตลอดครับ แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดจะเอาสองอย่างนี้มารวมเข้าด้วยกันเลย จนผมไปเจอพวกเพลงโดจินเมทัลจากญี่ปุ่น คือมันเป็นดนตรีเมทัลที่ทำโดยวงสายโอตาคุ คุณจะเจอพวกนี้ได้ตามงานอีเวนต์สายโดจินครับ นั่นแหละครับตอนที่ผมรู้ว่าตัวเองอยากจะสร้างผลงานแบบไหนขึ้นมา

 

ยากมั้ยกับการเอาแรงบันดาลใจสายคาวาอี้น่ารัก ๆ มาใส่ลงไปดนตรีแนวแบบนี้?

ไม่ได้ยากอย่างที่คิดครับ เพราะสมาชิกวงเราโตมากับการฟังวงเมทัลกัน แล้วก็เพลงอนิเมะกันแบบเยอะมาก ๆ การแต่งเพลงพวกนี้เลยเป็นอะไรที่ธรรมชาติมาก ๆ สำหรับพวกเรา

 

เทียบกับทุกวันนี้ที่คุณมีคนฟังเพลงบน Spotify ทะลุล้านคน กับตอนเริ่มทำวงแรก ๆ มันแตกต่างกันมากแค่ไหน?

ส่วนตัวผมนะ การมียอดสตรีมมิงทะลุ 1 ล้านบน Spotify เป็นเรื่องที่ hype โคตร ๆ ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากแฟน ๆ ของเรา วง DIW อาจจะมาไม่ถึงจุดที่กำลังอยู่กันแบบทุกวันนี้ก็ได้ ผมตั้งตารอจะสร้างฐานแฟนเพลงใหม่ ๆ ในไทย สร้างคนฟังใหม่ ๆ ที่นั่นแบบสุด ๆ

 

ทำวงนี้เต็มเวลาเลยไหมครับ? หรือมีงานอื่นทำควบคู่ไปกับการไล่ตามเป้าหมายในสิ่งที่ชอบ เพราะที่ไทยนี่นักดนตรีแนวนี้แทบทุกคนต้องทำวงเป็นงานอดิเรกหมดเลย

ผมว่าเรื่องนี้น่าจะเหมือนกันทุกที่นะครับ พวกเราทุกคนมีงานต้องทำกันหมด บางคนยังเป็นนักเรียนอยู่ บางคนเป็นพนักงานแบงก์ ส่วนตัวผม ผมเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ งาถนัดคือออกแบบพวก visual design ในวงการเพลงร็อกเพลงเมทัลนี่แหละครับ

 

คุณเผยความชอบในอนิเมะ Love Live! ให้เห็นในงานเพลงชัดเจนมากเลย ช่วยบอกได้ไหมว่าเรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ ยังไงบ้าง?

ปี 2014 คือครั้งแรกที่ผมได้เจอเข้ากับ Love Live! แบบจัง ๆ คือ ความน่ารักของพวกตัวละคร แพชชัน แล้วก็ความเป็นเพื่อนที่อนิเมะเรื่องนี้นำเสนอออกมามันโดนใจผมมาก ๆ และแน่นอนว่าสิ่งที่ดึงดูดผมเข้าไปหาสิ่งนี้มากที่สุดก็คือเพลงไอดอลของเรื่อง เรียกว่าผมฟังแต่เพลงของ Love Live! วนซ้ำไปซ้ำมาทั้งปีนั้นเลยดีกว่า

 

(© ภาพจากเฟซบุ๊ก Dehumanizing Itatrain Worship โดย Intan Zari)

 

นอกจากอนิเมะแล้ว มีวงดนตรีวงไหนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นวง Dehumanizing Itatrain Worship ขึ้นมาอีกบ้าง?

มีวง Go-Zen, Agent-0 แล้วก็ Undead Corporation จากญี่ปุ่น วง Jig-ai จากประเทศเช็กเกีย แล้วก็ที่สำคัญที่สุดคือ Devourment จากอเมริกาครับผม

 

ถ้าสมมติว่าต้องแนะนำ Dehumanizing Itatrain Worship ให้คนที่ไม่เคยฟัง จะเลือกเพลงไหนขึ้นมาแนะนำ (ขอ 3 เพลง)

Brutal Rush, Eien Parasites, แล้วก็ 殺してやるばんざーい!

 

เราเห็นแขกรับเชิญดัง ๆ ในอัลบั้ม Otakuslam​♡​Animecide เยอะมากเลย ถือว่าเป็นเรื่องแปลกตาสำหรับวงหน้าใหม่ในเอเชีย คุณทำได้ยังไง?

เรื่องนี้ต้องขอบคุณแม็ต จาก Gore House Productions ค่ายเพลงของเราเลยครับ เขาติดต่อเพื่อน ๆ หลายคนมาร่วมงานกับเรา เช่นแจ็ก คริสเทนเซ็น [นักร้องนำ Kraanium วงบรูทัลเดธรุ่นใหญ่จากนอร์เวย์] นอกจากนี้แล้วการมีส่วนร่วมในซีนดนตรีบรูทัลเดธกับเดธคอร์ของผม ก็มีส่วนช่วยให้ผมได้เจอกับนักร้องอีกหลาย ๆ คนครับ

 

(© ภาพจากเฟซบุ๊ก Dehumanizing Itatrain Worship โดย Intan Zari)

 

เห็นว่าไปเล่นงานเทศกาล Death Feast Open Air ที่เยอรมนีมาด้วย พอจะมีเรื่องราวที่ชอบที่สุดมาเล่าให้ฟังบ้างไหม?

ผมคิดว่าผมมีความสุขที่สุดตอนที่เราเห็นเมิร์ชของเราขายหมดเกลี้ยงไปเลยครับ คือการได้เห็นผู้คนจำนวนมากสนับสนุนเราขนาดนี้มันทำให้ผมมีความสุขมาก ๆ

 

งาน ANIME CONFLICT ที่กรุงเทพก็ใกล้เข้ามาแล้ว คาดหวังจะเห็นอะไรที่นี่บ้าง?

มอชพิตโหด ๆ มัน ๆ การปะทะกันใน wall of death แบบใส่สุดตัว แล้วก็การได้เจอพวกคุณทุกคนครับ

 

ก่อนจบบทสัมภาษณ์กันไป ถ้าเราเปิดให้คุณพูดอะไรก็ได้หนึ่งอย่าง อะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับที่เราคุยกันอยู่ตอนนี้ก็ได้ จะพูดว่าอะไร?

โอเค ผมขอเป็นท่อนนึงจากเพลง ストーム·イン·カーネイジ (Storm in Carnage) แล้วกัน “สิ่งเดียวที่กูต้องการคือเข้าไปในโลกอนิเมะโว้ย!”

 

คำถามสุดท้าย อนิเมะเรื่องไหนที่ห้ามพลาดที่สุดตลอดกาล?

ซีรีส์ Love Live! ทั้งหมด, K-On! แล้วก็ Lucky☆Star

 


 

แล้วเจอกัน Anime Conflict!

พบกับ Dehumanizing Itatrain Worship สด ๆ ในไทยได้ที่งาน Anime Conflict 6 ตุลาคมนี้ ที่ The Rock Pub (BTS สนามเป้า) พร้อมด้วยวงดนตรีสายโหดน่าจับตามองอีกมากมาย ทั้ง Armed Conflict วง gangster slamming จากจีนแผ่นดินใหญ่ที่จะเดินทางมาแจกจ่ายความโหดร้ายในงานด้วยกัน ร่วมด้วยวงเมทัลไทยทั้ง The Creation of Adam และ Teresa รวมถึงวงไอดอลสายร็อกอย่าง Akira-Kuro ครบ จบหมดนี่ ในราคาบัตร pre-sale เพียง 700 บาทเท่านั้น

ซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ทาง Ticketmelon ticketmelon.com/sonicwavemusicofficial/sonicwavemusic และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้จัดได้โดยตรงที่เฟซบุ๊กเพจ SONiC WAVE MUSiC facebook.com/sonicwavemusicofficial ครับ

knosis

Knosis เซ็นสัญญาเข้าร่วมสังกัดกับ SharpTone Records

ข่าวดีสำหรับแฟน ๆ Knosis วงเมทัลโคตรบ้าพลังสัญชาติญี่ปุ่นที่ก่อตั้งโดย เรียว คิโนชิตะ อดีตนักร้องนำวง Crystal Lake ได้เข้าเป็นศิลปินในสังกัด SharpTone Records แล้ว หลังก่อตั้งวงเพียงราว ๆ 2 ปีเท่านั้น

นอกจากข่าวการเข้าร่วมค่ายเพลงใหม่ ทางวงยังประกาศวันปล่อยซิงเกิลใหม่ชืิ่อว่า “Fuhai” ออกมาให้ฟังกันในวันที่ 27 กันยายนนี้ด้วย (ปล่อยทีเซอร์ออกมาแล้ว ชมได้ที่นี่) จะเป็นอย่างไร เรามารอติดตามฟังไปพร้อม ๆ กัน

SharpTone Records เป็นค่ายเพลงสัญชาติอเมริกันที่มีศิลปินสายหนักที่น่าสนใจสังกัดอยู่หลายวง อาทิ Story of the Year, Miss May I, August Burns Red, Comeback Kid หรือแม้แต่ศิลปินญี่ปุ่นด้วยกันอย่าง Paledusk เป็นต้น

ใครยังไม่เคยฟังผลงานของ Knosis สามารถลองเลือกฟังในช่องทางสตรีมมิงที่สะดวกได้จากลิงก์นี้ big-up.style/tDzlvuRkGS

และหากต้องการติดตามผลงานของ Knosis โดยตรง สามารถฟอลโลวช่องทางโซเชียลของวงที่สะดวกกันได้จากลิงก์ด้านล่าง

• Facebook: facebook.com/profile.php?id=61560091043797
• Instagram: @knosisofficial
• Twitter / X: @knosis_official

––

ที่มา – Knosis Official Twitter / X